tag:blogger.com,1999:blog-43619560389148224162024-02-07T02:21:27.121-08:00นางสาวสุภาพร วันทะมาตร▌✖ღ Y úì ღ✖Ⓛãw▐http://www.blogger.com/profile/03044496265175491518noreply@blogger.comBlogger9125tag:blogger.com,1999:blog-4361956038914822416.post-81307202016380145862010-05-11T23:40:00.000-07:002010-05-11T23:41:05.305-07:00นโยบายประชานิยมกับการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม<object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/0-PjcXHGqKM&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/0-PjcXHGqKM&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>▌✖ღ Y úì ღ✖Ⓛãw▐http://www.blogger.com/profile/03044496265175491518noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4361956038914822416.post-71391393561686863552010-05-11T23:39:00.001-07:002010-05-11T23:39:40.356-07:00การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปี<object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/DGIYFtof8Tg&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/DGIYFtof8Tg&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>▌✖ღ Y úì ღ✖Ⓛãw▐http://www.blogger.com/profile/03044496265175491518noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4361956038914822416.post-35386780604315710252010-05-11T23:36:00.000-07:002010-05-11T23:37:45.944-07:00ปฐมนิเทศวิชากฎหมาย<object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/Q4oC5fOHWrI&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/Q4oC5fOHWrI&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>▌✖ღ Y úì ღ✖Ⓛãw▐http://www.blogger.com/profile/03044496265175491518noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4361956038914822416.post-73160286345338187002010-04-28T00:16:00.000-07:002010-04-28T00:33:59.631-07:00คดีเขาพระวิหาร<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6Gb3FLuFqxSq9PST6YeJr24Sq7l1KiLF9kyuCCzqZV-ywbjw2_BHRpfmTtPg6lvzYXWk8Rc9Y9riVDfWVLQQOnhsUj2-U1vIy1PIJfrBNlJXDWkHfPKI-P7AsVZyIkhGKfb7XdvsQQBA/s1600/225.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5465087944904229170" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 248px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6Gb3FLuFqxSq9PST6YeJr24Sq7l1KiLF9kyuCCzqZV-ywbjw2_BHRpfmTtPg6lvzYXWk8Rc9Y9riVDfWVLQQOnhsUj2-U1vIy1PIJfrBNlJXDWkHfPKI-P7AsVZyIkhGKfb7XdvsQQBA/s200/225.jpg" border="0" /></a> <span style="font-size:180%;"><span style="font-family:trebuchet ms;"><em><strong><span style="color:#996633;"><span style="color:#006600;">คดีเขาพระวิหาร</span> </span></strong></em></span><br /></span><div><span style="font-family:trebuchet ms;font-size:130%;color:#996633;"><em><strong> คดีเขาพระวิหาร ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา (ต่อไปขอใช้คำว่า ไทย กับคำว่า กัมพูชา) ข้อเท็จจริงของคดีมีโดยย่อว่า เทือกเขาพนมดงรักเป็นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อ ค.ศ. ๑๙๐๔ (พ.ศ. ๒๔๔๗) ไทยได้ทำสัญญากับฝรั่งเศส ซึ่งเป็นรัฐอารักขาของกัมพูชา(กล่าวคือกัมพูชาอยู่ใต้อาณานิคมของฝรั่งเศสในช่วงเวลานั้นนั่นเอง) เกี่ยวกับปัญหาพรมแดนระหว่างประเทศว่าให้ถือเอาสันปันน้ำเป็นเกณฑ์แบ่งอาณาเขตพรมแดน ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๐๗ (พ.ศ. ๒๔๕๐) ไทยได้ขอให้ฝรั่งเศสทำแผนที่พรมแดน ฝรั่งเศสก็ได้จัดทำแผนที่และส่งให้ไทย<br /> ปราสาทพระวิหารเป็นโบราณสถานเก่าแก่ ตั้งอยู่บนยอดเขาพระวิหารซึ่งเป็นเขาลูกหนึ่งในเทือกเขาพนมดงรักซึ่งเป็นเส้นเขตแดนธรรมชาติระหว่างไทยกับกัมพูชา ทางขึ้นปราสาทอยู่ในอาณาเขตของไทย (วงอินโดจีนเคยแต่งเพลงๆ หนึ่งชื่อเพลงเขาพระวิหาร ขึ้นต้นว่า เขาพระวิหารทางขึ้นต้องผ่านด่านเมืองศรีษะเกษ) ปราสาทถูกทิ้งร้างไว้ เมื่อ ค.ศ. ๑๙๔๘ (พ.ศ. ๒๔๙๑) ไทยได้ส่งคนเข้าครอบครองปราสาท ต่อมาเมื่อ ค.ศ. ๑๙๕๕ (พ.ศ. ๒๔๙๘) กัมพูชาได้ประกาศอิสรภาพจากฝรั่งเศสและได้อ้างว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในอาณาเขตของประเทศตน จึงเกิดกรณีพิพาทขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายพยายามเจรจาตกลงระงับข้อพิพาท แต่ล้มเหลว ต่อมาเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๕๙ (พ.ศ. ๒๕๐๒) กัมพูชาได้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ขอให้ศาลพิพากษาว่าอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่ตั้งของปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาโดยอ้างเหตุผลสนับสนุนข้ออ้างของตนคือ<br /> (๑) อาศัยสนธิสัญญาปักปันเขตแดนระหว่างฝรั่งเศสกับไทย อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนบนภูเขาพนมดงรักส่วนที่เป็นที่ตั้งปราสาทพระวิหารอยู่ในอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา<br /> (๒) กัมพูชาไม่เคยสละอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่เป็นปัญหานี้ และอาศัยสิทธิตามสนธิสัญญา กัมพูชาได้ใช้อำนาจอธิปไตยอันมีประสิทธิภาพเหนือดินแดนนี้ตลอดมา<br /> (๓) ไทยไม่ได้กระทำการใดๆ ในทางใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนดังกล่าวโดยลักษณะที่จะทำให้กัมพูชาเสียอำนาจอธิปไตยอันได้มาโดยสนธิสัญญาและด้วยการใช้อำนาจอธิปไตยอันมีประสิทธิภาพ<br /> (๔) เมื่อ ค.ศ. ๑๙๔๑ (พ.ศ. ๒๔๘๔) รัฐบาลไทยได้จัดพิมพ์หนังสือชื่อ ไทยสมัยสร้างชาติ มีข้อความว่า ไทยได้ปราสาทพระวิหารด้วยผลของการปรับปรุงเขตแดนตามสนธิสัญญาโตเกียว พ.ศ. ๒๔๘๔ ดังนั้น เมื่อสนธิสัญญาโตเกียวล้มเลิกไป ปราสาทพระวิหารก็ต้องกลับไปเป็นของกัมพูชา<br /> (๕) กัมพูชาอ้างแผนที่ประกอบคดีว่าเป็นแผนที่ของคณะกรรมการปักปันเขตแดน (คณะกรรมการผสมระหว่างไทย-ฝรั่งเศส) (นายนิติกรเข้าใจว่าที่อ้างแบบนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าไทยเป็นผู้ร่วมจัดทำแผนที่ จึงต้องยอมรับแผนที่ที่ร่วมกันสร้างขึ้นมานี้ด้วย)<br /><br /> ส่วนไทยต่อสู้คดีโดยมีข้อเถียง สรุปได้ดังนี้<br /> (๑) ข้อกำหนดในสนธิสัญญา พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้ปักปันอาณาเขตเขาพระวิหารไว้ในเขตแดน(น่าจะเป็นเขตแดนของไทย แต่ในหนังสือที่สืบค้นนี้ไม่ได้กล่าวถึง) แผนที่ที่กัมพูชาอ้างเป็นแผนที่ที่ไม่ถูกต้องตามสนธิสัญญา เป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นโดยพลการ ไม่ได้จัดทำโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดน<br /> (๒) กัมพูชาไม่ได้เป็นผู้ใช้สิทธิที่อ้างเลย หากแต่เป็นไทยที่ใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนี้เสมอมา<br /> (๓) ไทยได้แสดงแผนที่ (น่าจะเป็นอีกฉบับ) เพื่อแสดงที่ตั้งอันแท้จริงของสันปันน้ำ และข้อผิดพลาดในแผนที่ของกัมพูชาที่อ้างในคดีว่าเป็นแผนที่ที่เลื่อนลอยไม่มีผลผูกพัน<br /><br /> ศาลโลกได้พิจารณาข้ออ้างข้อเถียงของทั้งกัมพูชาและไทยแล้ว วินิจฉัยในประเด็นอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่ตั้งของปราสาทพระวิหารโดยพิจารณาเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาตรงบริเวณที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร ซึ่งไทยอ้างว่าตามหลักฐานเอกสารแสดงว่าต้องกำหนดเขตแดนตามธรรมชาติที่เห็นได้ชัดเจนและไม่ผิดพลาด เช่น แม่น้ำ ภูเขา สันเขา ชะง่อนผา แต่ศาลเห็นว่า ไทยได้ตกลงกับฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ. ๑๙๐๔ (พ.ศ. ๒๔๔๗) ว่าทั้งสองประเทศได้ตกลงเส้นเขตแดนโดยยึดถือเส้นทางชัดเจน เช่น สันปันน้ำ ดังนั้นจะยึดถือเอาชะง่อนผาเป็นเส้นเขตแดนเสมอไปไม่ได้<br /> ศาลยังได้พิจารณาแผนที่ (น่าจะเป็นที่กัมพูชายกขึ้นอ้าง) ว่ายังไม่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการปักปันเขตแดนจึงไม่มีผลผูกพันในขณะที่ทำขึ้น แต่เนื่องจากต่อมาไทยมิได้คัดค้านภายในเวลาอันควร จึงถือว่าเห็นชอบด้วย คณะกรรมการฝ่ายไทยไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้แสดงทีท่าคัดค้านว่าแผนที่นั้นไม่ถูกต้อง เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ยังต้องขอบใจราชทูตฝรั่งเศสเมื่อได้รับแผนที่นั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดก็มิได้ประท้วง ต่อมาเมื่อมีการประชุมคณะกรรมการปักปันเขตแดนที่กรุงเทพฯ เมื่อ ค.ศ. ๑๙๐๙ (พ.ศ. ๒๔๕๒) เพื่อทำแผนที่ใหญ่โดยใช้แผนที่ดังกล่าวเป็นหลักก็ไม่มีผู้ใดคัดค้าน แผนที่ที่กรมแผนที่ของไทยที่ทำขึ้นเองเมื่อ ค.ศ. ๑๙๓๗ (พ.ศ. ๒๔๘๐) แสดงให้เห็นชัดเจนว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตแดนกัมพูชา ในการเจรจาที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อ ค.ศ. ๑๙๔๗ (พ.ศ. ๒๔๙๐) ไทยก็มิได้ประท้วงในเรื่องนี้ เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จไปปราสาทพระวิหารเมื่อ ค.ศ. ๑๙๓๐ (พ.ศ. ๒๔๗๓) เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสไปทำการต้อนรับในเขตปราสาทพระวิหาร ไทยก็มิได้ว่ากล่าวแต่อย่างใด แสดงว่าไทยยอมรับว่าฝรั่งเศสมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนซึ่งเป็นที่ตั้งปราสาทพระวิหารเป็นเวลานานถึง ๕๐ ปีมาแล้ว (น่าจะนับถึงวันที่ศาลตัดสิน) ศาลจึงพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๖๒ (พ.ศ. ๒๕๐๕) ด้วยคะแนน ๙ ต่อ ๓ ให้ประเทศกัมพูชาชนะคดีประเทศไทย (และมีมติ ๗ ต่อ ๕ ให้ฝ่ายไทยคืนวัตถุโบราณที่มีการเคลื่อนย้ายด้วย)<br /> หลักกฎหมายที่ศาลโลกใช้ในคดีนี้ เขาเรียกว่า หลักกฎหมายปิดปาก (Esstoppel) การนิ่งของฝ่ายไทย ทำให้ศาลโลกมองว่ายอมรับตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ดี นายนิติกรคงไม่อาจแสดงทัศนะต่อกรณีที่ประเทศกัมพูชาจะขอให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ คงทำได้แต่เพียงเสนอข้อเท็จจริงบางสิ่งบางประการสู่สายตาท่านผู้อ่านเพื่อให้รับรู้รับทราบเกี่ยวกับภูมิหลังของกรณีพิพาทดังที่ได้เสนอไปแล้วเท่านั้น</strong></em></span></div>▌✖ღ Y úì ღ✖Ⓛãw▐http://www.blogger.com/profile/03044496265175491518noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4361956038914822416.post-71478401613013858752010-04-27T23:58:00.000-07:002010-04-28T00:10:47.043-07:00ความหมายของคำในกฎหมาย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQxVKaTPiOqz9RAGXbEKCCwnhz-MJun2lDV9J4yXyxPbKUvRRlhuOo_egj_tHJvS8C3_p4nYVKqsaR18YWKzleLstqOW8JO5qQEhvva1ilP-XHEORv3pgb2ORVgHHplR0C9f5uO-Sn2Co/s1600/1265351978.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5465082246600958018" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 433px; CURSOR: hand; HEIGHT: 219px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQxVKaTPiOqz9RAGXbEKCCwnhz-MJun2lDV9J4yXyxPbKUvRRlhuOo_egj_tHJvS8C3_p4nYVKqsaR18YWKzleLstqOW8JO5qQEhvva1ilP-XHEORv3pgb2ORVgHHplR0C9f5uO-Sn2Co/s200/1265351978.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:trebuchet ms;font-size:130%;color:#33ccff;"><em><strong><span style="font-size:180%;color:#cc33cc;">ความหมายของคำในกฎหมาย</span></strong><br /><strong><span style="color:#cc33cc;">๑.</span> <span style="color:#cc33cc;">คำว่า ประมาท</span> <span style="color:#3366ff;">ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๕๙ วรรคสี่ บัญญัติว่า กระทำโดยประมาท ได้แก่ การกระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ สรุปสั้นๆ ได้ว่า ประมาทคือการกระทำ (รวมถึงการงดเว้นการกระทำ) ที่ไม่ใช้ความระมัดระวัง ทั้งๆ ที่สามารถใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้<br />สำหรับคำว่า <span style="color:#cc33cc;">ภาวะ</span> หมายถึง เหตุการณ์หรือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เช่น ขับรถ ภาวะที่เกิดขึ้นคือการขับรถ การเติมน้ำมัน ภาวะที่เกิดขึ้นคือการเติมน้ำมัน เป็นต้น<br />คำว่า <span style="color:#cc33cc;">วิสัย</span> หมายถึง สภาพภายในของตัวผู้กระทำ เช่น เมาค้าง ไม่สบาย สำหรับบุคคลธรรมดาตามวิสัยย่อมใช้ความระมัดระวังน้อยกว่าผู้มีวิชาชีพ เช่น นักศึกษาแพทย์ย่อมระมัดระวังน้อยกว่านายแพทย์ ผู้ฝึกหัดขับรถย่อมระมัดระวังน้อยกว่าครูสอนขับรถ เป็นต้น ส่วนคำว่า พฤติการณ์ หมายถึงเหตุการณ์ภายนอกตัวผู้กระทำที่ต้องนำมาประกอบกับภาวะ เช่น ฝนกำลังตก หมอกลงจัด การจราจรคับคั่ง เป็นต้น<br />ดังนั้น บุคคลใดจะประมาทหรือไม่ มีหลักในการพิจารณาคือการสมมติคนอีกคนหนึ่งมาเปรียบเทียบโดยมีทุกอย่างเหมือนกับผู้ที่นำมาเปรียบเทียบ แล้วพิจารณาว่าหากคนที่สมมติอยู่ในภาวะเช่นนั้น มีวิสัยเช่นเดียวกันและอยู่ในพฤติการณ์อย่างเดียวกับผู้กระทำ เขาจะสามารถใช้ความระมัดระวังได้หรือไม่ หากใช้ความระมัดระวังได้แต่ไม่ใช้ การกระทำนั้นย่อมเป็นประมาท<br /><br /><span style="color:#cc33cc;">๒. คำว่า อันตรายสาหัส</span> ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ วรรคสอง บัญญัติว่า<br />อันตรายสาหัสคือ</span></strong></em></span></div><br /><div><span style="font-family:trebuchet ms;font-size:130%;color:#3366ff;"><em><strong>(๑) ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท<br />(๒) เสียอวัยวะสืบพันธุ์หรือความสามารถในการสืบพันธุ์<br />(๓) เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรืออวัยวะอื่นใด<br />(๔) หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว<br />(๕) แท้งลูก<br />(๖) จิตพิการอย่างติดตัว<br />(๗)ทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต<br />(๘) ทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ๒๐ วัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วัน<br />คำว่า <span style="color:#cc33cc;">ตาบอด</span> นั้น ต้องตาบอดจริงๆ ไม่ใช่แค่พร่ามัว แม้จะบอดข้างเดียวก็เป็นสาหัส หูหนวกก็เช่นกัน ส่วนลิ้นขาดนั้นเห็นว่าต้องพิจารณาตามความรู้สึกของคนทั่วไป การที่ลิ้นฉีกไม่น่าจะอยู่ในความหมายของคำว่าลิ้นขาด และคำว่าเสียฆานประสาทหมายถึงเสียความสามารถในการดมกลิ่น<br />เสียอวัยวะสืบพันธุ์หรือความสามารถในการสืบพันธุ์ เช่น ถูกทำร้ายจนเป็นหมัน หรืออวัยวะสืบพันธุ์ขาดหายไป เป็นต้น<br />เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรืออวัยวะอื่นใด มิใช่เฉพาะเสียไป หากแต่รวมถึงอวัยวะดังกล่าวไม่สามารถใช้งานได้ด้วย และแม้จะเป็นแค่นิ้วก้อยก็เป็นอันตรายสาหัสแล้ว ส่วนคำว่าอวัยวะอื่นใดนั้นหมายถึงอวัยวะส่วนสำคัญเช่นเดียวกับ แขน ขา มือ เท้า นิ้ว ด้วย<br /><span style="color:#cc33cc;">หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว</span> หมายถึง ทำให้หน้าเสียความงามแต่ไม่ต้องถึงกับทำให้หน้าเปลี่ยนรูปหรือผิดรูป แม้แต่ใบหูขาดมองเห็นชัดเจนก็ถือเป็นอันตรายสาหัสได้ แต่ถ้าถูกโกนผมไปไม่เป็นอันตรายสาหัส เพราะผมงอกขึ้นใหม่ได้<br /><span style="color:#cc33cc;">แท้งลูก</span> คือ ทำให้เด็กที่อยู่ในท้องคลอดออกมาโดยไม่มีชีวิต หรือที่เรียกว่าตายในครรภ์มารดานั่นเอง<br />จิตพิการอย่างติดตัว หมายถึง จิตใจได้รับอันตรายจนอยู่ในสภาพไม่ปกติ ป้ำๆ เป๋อๆ เด๋อๆ ด๋าๆ โดยมีลักษณะติดตัว<br />ทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต คำว่า ทุพพลภาพคือการขาดความสามารถในการประกอบการงานไปจากปกติ ส่วนคำว่าเรื้อรังคือไม่อาจรักษาให้ฟื้นคืนดีได้<br />ทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ๒๐ วัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วัน หมายถึงต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง คือมีอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ๒๐ วัน หรืออีกอย่างหนึ่งคือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วัน<br /><br /><span style="color:#cc33cc;">๓. อันตรายแก่กายหรือจิตใจ</span> ไม่มีคำอธิบายไว้ แต่เมื่อศึกษาแนวทางที่ศาลฎีกาได้ตัดสินไว้ พอสรุปได้ดังนี้<br />ถ้าแผลถลอกไม่ถึงขนาดเนื้อแท้ฉีกขาด ไม่เป็นอันตรายแก่กาย แต่ถ้าแผลมีโลหิตไหลถึงหนังชั้นในหรือเนื้อขาดที่เรียกว่าแตก เป็นอันตรายแก่กาย หรือฟันหัก ๑ ซี่ ฟันโยก ๓ ซี่ เป็นอันตรายแก่กาย แต่ถ้าฟันหักหมดปากหรือฟันหักจนไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้อาจเป็นอันตรายสาหัส ส่วนแผลฟกช้ำดำเขียวต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป ส่วนอันตรายแก่จิตใจนั้น ไม่ใช่เป็นการกระทบต่ออารมณ์ เช่นทำให้เสียใจ หงุดหงิด อันตรายแก่จิตใจตามแนวคำพิพากษา เช่น สติฟั่นเฟือน จิตหวาดผวา วิงเวียนคลื่นไส้เพราะถูกเอาใบไม้มีพิษมาให้รับประทาน ถูกทำผีหลอกสลบไปหลายวัน หรือใช้ยากดประสาทอย่างแรงผสมในกาแฟ เป็นต้น<br /><br />เมื่อเราเข้าใจความหมายของคำต่างๆ ในกฎหมายแล้ว นายนิติกรจะขอยกตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบถึงแนวทางการวินิจฉัยของศาลสัก ๑ ตัวอย่าง</strong></em></span></div><br /><div><span style="font-family:trebuchet ms;font-size:130%;color:#3366ff;"><em><strong></strong></em></span></div><br /><div><span style="font-family:trebuchet ms;font-size:130%;color:#3366ff;"><em><strong><span style="color:#cc33cc;"></span><span style="font-size:180%;color:#cc33cc;">คำพิพากษาศาลฎีกา<br /></span>เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ นายมะเดี่ยวได้พาแฟนสาวนั่งรถที่เพิ่งถอยออกมาใหม่ไปเที่ยวต่างจังหวัด ขณะที่นายมะเดี่ยวขับรถโฉบเฉี่ยวด้วยความเร็วสูงมานั้น ปรากฏว่ารถบรรทุกห้องเย็นซึ่งแล่นอยู่ข้างหน้ารถที่นายมะเดี่ยวขับมาได้ถูกรถของนายมะขาม (ซึ่งแล่นอยู่ข้างหน้าเช่นกัน) ชนท้ายอย่างแรง นายมะเดี่ยวจึงได้เบรกรถอย่างกะทันหันแต่ไม่วาย รถของนายมะเดี่ยวก็ยังไปชนท้ายรถนายมะขามจนได้ เป็นเหตุให้แฟนสาวของนายมะเดี่ยวบาดเจ็บ ส่วนรถของนายมะขามมีคนตาย ๒ ศพ คดีอาญาอย่างนี้ยอมความไม่ได้ เรื่องจึงมาถึงศาล ศาลฎีกาท่านพิจารณาพยานหลักฐานทั้งปวงแล้ววินิจฉัยว่า<br />เมื่อเปรียบเทียบร่องรอยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ทั้งสามคัน แสดงให้เห็นว่ารถของนายมะขามชนท้ายรถบรรทุกห้องเย็นอย่างแรงแล้วจึงถูกรถของนายมะเดี่ยวชนท้ายแต่ไม่รุนแรงนัก ดังนั้น ความตายที่เกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในรถนายมะขามมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของนายมะเดี่ยว นายมะเดี่ยวจึงไม่มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้คนตาย คงมีแต่ความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้แฟนสาวที่นั่งมาด้วยได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น (ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๙๘/๒๕๓๘) คำพิพากษานี้เป็นการยืนยันหลักที่ว่าบุคคลไม่ต้องรับผิดเกินไปกว่าผลอันเกิดจากการกระทำของตน</strong></em></span></div>▌✖ღ Y úì ღ✖Ⓛãw▐http://www.blogger.com/profile/03044496265175491518noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4361956038914822416.post-64303847737302468092010-04-27T23:47:00.000-07:002010-04-28T00:13:35.491-07:00ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีความหมาย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRQUdv8C3Siq_nfH8ft70O3A0afDk8IqQ_Qn4kAqRT1R-L_b08GHUc2AEUeswt33hSIhva1-x-vlDTPk_w0nsr3pfpOoNSpwQXqkmVgqcTdFvMFbUYCsA-CIPRtHWG5D2O1Ez9Nk7kh_w/s1600/untitled.bmp"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5465077270011032898" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 311px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRQUdv8C3Siq_nfH8ft70O3A0afDk8IqQ_Qn4kAqRT1R-L_b08GHUc2AEUeswt33hSIhva1-x-vlDTPk_w0nsr3pfpOoNSpwQXqkmVgqcTdFvMFbUYCsA-CIPRtHWG5D2O1Ez9Nk7kh_w/s200/untitled.bmp" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:lucida grande;font-size:180%;color:#993399;"><em><strong> “หาตั๋วรถ ป.1 ที่นั่งปกติไม่ได้เลยเพื่อน จะมีก็แค่ที่นั่งเสริม จะเอาไหมล่ะ” นายนิติกรพูดผ่านโทรศัพท์บอกเพื่อนที่ขอให้มาจองตั๋วรถเพื่อเดินทางกลับไป กทม. หลังจากมาเที่ยวสงกรานต์ที่บ้านเกิดเมืองนอนเสียหลายวัน<br /> “ตั๋วอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอให้กลับไปทำงานทันในวันจันทร์นี้เถอะ” เพื่อนผู้พูดอยู่ปลายสายตะโกนผ่านมาทางโทรศัพท์<br /> “ตกลง ถ้างั้นจะจองให้ แล้วรีบมาขึ้นรถ รถจะมาถึงเวลา 22.00 น.นี้” นายนิติกรโต้ตอบกลับไป<br /><br /> นี่เป็นเพียงบทสนทนาของคนจำนวนหนึ่งที่ต้องการโดยสารรถประจำทางกลับไปทำงานที่ กทม.เมืองฟ้าอมรของใครหลายๆ คน และคงมีใครอีกหลายคนที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้<br /> พอกล่าวถึงเรื่องรถโดยสาร นายนิติกรมีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดฉบับหนึ่งที่น่าสนใจมานำเสนอสู่สายตาผู้อ่านทุกท่าน เรื่องก็มีอยู่ว่า<br /><br /> กาลครั้งหนึ่ง ไม่นานนัก นายมึน (นามสมมติ) ซึ่งเป็นผู้โดยสารรถไฟขบวนด่วนพิเศษเป็นประจำ ฟ้องศาลปกครองชั้นต้นว่า ได้รับความเสียหายจากการที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (ต่อไปจะเรียกว่า การรถไฟฯ) อนุญาตให้เอกชนติดตั้งแผ่นป้ายโฆษณา (มีลักษณะเป็นรูพรุนเพื่อให้แสงผ่านได้) บริเวณกระจกหน้าต่างภายนอกตู้รถโดยสารของขบวนรถไฟ ทำให้การมองผ่านกระจกหน้าต่างดังกล่าวไม่อาจเห็นทิวทัศน์สองข้างทางรถไฟได้อย่างชัดเจน และยังทำให้เกิดอาการตาพร่ามัวและคลื่นไส้ นายมึนได้มีหนังสือร้องทุกข์ต่อการรถไฟฯ เพื่อให้ขูดลอกแผ่นป้ายโฆษณาดังกล่าวออกจากหน้าต่างตู้รถโดยสารแล้ว แต่ไม่ได้รับการแก้ไข จึงนำคดีมาฟ้องศาล<br /> คดีมาถึงศาลปกครองสูงสุด ศาลท่านพิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว วินิจฉัยสรุปได้ว่า ตามกฎหมายการรถไฟ กำหนดให้การรถไฟฯ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำกิจการรับขนส่งผู้โดยสาร สินค้า และพัสดุภัณฑ์และของอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการรถไฟซึ่งเป็นบริการสาธารณะ โดยในการจัดทำกิจการดังกล่าว นอกจากจะต้องจัดให้มีขบวนรถไฟสำหรับขนส่งผู้โดยสาร สินค้า พัสดุภัณฑ์ และของอื่นๆ อย่างเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนแล้ว การรถไฟฯ ยังต้องดูแลรักษาส่วนต่างๆ ของตู้รถโดยสารของขบวนรถไฟซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการจัดทำบริการสาธารณะดังกล่าว เข่น ที่นั่ง ที่นอนของผู้โดยสาร รวมทั้งประตูหน้าต่างของตู้รถโดยสารให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีและสามารถอำนวยความสะดวกสบายในการเดินทางให้แก่ผู้โดยสารได้ตามสมควร<br /> ซึ่งในส่วนของหน้าต่างนั้น รถโดยสารทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นรถโดยสารส่วนบุคคลหรือรถโดยสารสาธารณะ และไม่ว่าจะเป็นรถโดยสารปรับอากาศหรือรถโดยสารไม่ปรับอากาศ จะต้องมีหน้าต่าง โดยหน้าต่างรถโดยสารมิได้มีไว้เพียงเพื่อให้แสงสว่างจากภายนอกรถเข้าไปภายในรถได้เท่านั้น แต่ยังมีไว้เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถมองเห็นสรรพสิ่งที่อยู่นอกรถเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินในระหว่างที่อยู่ในรถและระแวดระวังภยันตรายที่อาจจะมีจากภายนอกรถอีกด้วย รถโดยสารที่ไม่มีหน้าต่างจึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นรถโดยสาร แต่เป็นรถขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ และต้องถือว่าผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะที่ไม่มีหน้าต่างปฏิบัติต่อผู้โดยสารเยี่ยงวัตถุ ซึ่งเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้โดยสาร<br /> ดังนั้น การรถไฟฯ จึงมีหน้าที่จัดให้ตู้รถโดยสารของขบวนรถไฟทุกขบวนมีหน้าต่างและดูแลรักษาหน้าต่างตู้รถโดยสารทุกคันให้อยู่ในสภาพที่สามารถใช้การได้สมวัตถุประสงค์ของการจัดให้มีหน้าต่าง การที่การรถไฟฯ ทำสัญญาเช่าติดตั้งป้ายโฆษณาภายนอกรถโดยสารโดยยินยอมให้ติดตั้งป้ายโฆษณาที่กระจกหน้าต่างรถโดยสารได้ด้วย จึงเป็นการใช้หน้าต่างรถโดยสารแสวงหารายได้จนทำให้ผู้โดยสารไม่อาจใช้ประโยชน์จากหน้าต่างรถโดยสารตามวัตถุประสงค์ของการจัดให้มีหน้าต่างได้ตามที่ควรจะเป็น ถือเป็นการละเลยต่อหน้าที่ในการจัดทำกิจการรับขนส่งผู้โดยสาร<br /> คำพิพากษาให้ การรถไฟฯ ขูดลอกแผ่นป้ายโฆษณาออกจากบริเวณกระจกหน้าต่างตู้รถโดยสารและทำความสะอาดกระจกหน้าต่างตู้รถโดยสารรถไฟทุกคันให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา*** (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.231/2550)<br /></strong></em></span></div>▌✖ღ Y úì ღ✖Ⓛãw▐http://www.blogger.com/profile/03044496265175491518noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4361956038914822416.post-54734259830800561702010-04-27T23:29:00.000-07:002010-04-28T00:15:54.960-07:00กฎหมายอาญา<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFEV-xedfCO-IUIAg2PQP7MHSJwUvUfPlUwYj0QTWIHWeYXPZkbS8drgYP6XAyWQrCZN7IN_Xrke_D2q5o72YWWkw1g3G6KrJGrSPMK_Ksost2qPBqigvmsVzOmxhfYNwLkLYI9pPFgiw/s1600/42%5B1%5D.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5465073272101335826" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 148px; CURSOR: hand; HEIGHT: 175px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFEV-xedfCO-IUIAg2PQP7MHSJwUvUfPlUwYj0QTWIHWeYXPZkbS8drgYP6XAyWQrCZN7IN_Xrke_D2q5o72YWWkw1g3G6KrJGrSPMK_Ksost2qPBqigvmsVzOmxhfYNwLkLYI9pPFgiw/s200/42%5B1%5D.jpg" border="0" /></a><br /><div align="left"><span style="font-family:lucida grande;color:#33cc00;"><em><strong> </strong><span style="font-family:times new roman;"> <span style="font-size:130%;color:#339999;">ปัจจุบันนี้ ปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ในเมืองไทยนั้นเพิ่มขึ้นทุกๆวันไปพร้อมกับปัญหาสังคมอย่างอื่นด้วย และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่จะล่วงละเมิดมิได้ รวมไปถึงความเท่าเทียมกันในสังคม ที่นับวันจะมีความหลากหลาย และซับซ้อนมากขึ้น จึงทำให้มีการแก้ไขกฎหมาย อาญามาตรา 276 และ 277 </span></span></em></span></div><div align="left"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#339999;"><em> มาตรา 276 ประมวลกฎหมายอาญา (ของเดิม) ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้...โดยให้แก้เป็น มาตรา 276 ประมวลกฎหมายอาญา (แก้ไขใหม่) ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้.. ให้แก้จาก “หญิงอื่นที่มิใช่ภริยาของตน” เป็น “ผู้อื่น” ทำให้ ผู้ชายก็ถูกข่มขืนได้ ไม่ว่าจะเป็นชายข่มขืนชาย หรือ หญิงข่มขืนชาย ประเด็นต่อมาเรื่องโทษ “หากต้องรับโทษเท่ากันจะข่มขืนภริยาตัวเองทำไม คนเราเมื่อข่มขืนภริยาตัวเองไม่ได้ เพราะกฎหมายกำหนดบทลงโทษไว้ เลยต้องไปข่มขืนผู้อื่นแทน เพราะยังไงโทษก็เท่ากัน และในส่วนโทษในการกระทำชำเราผู้ใหญ่ ตามมาตรา 276 กับกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้า<br /></em></span><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#339999;"><em> ตามมาตรา 277 อัตราโทษกับเท่ากันต่างกันตรงที่การกระทำชำเราเด็กยอมความไม่ได้เท่านั้น กฎหมายยัง ให้คำนิยามคำว่า “กระทำชำเรา” หมายความว่า การกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำโดยใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำต่อ อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือใช้สิ่งใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น ประเด็นที่น่าสนใจคือ กรณีที่ผู้ชาย(เกย์)บังคับให้ผู้ชายกระทำต่อทวารหนัก (เกย์)เพื่อสนองความใคร่ของผู้บังคับ จะเป็นการกระทำชำเราหรือไม่นั้น ความเห็นของผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นการกระทำชำเราเนื่องจากในความหมายว่าการ กระทำชำเราไม่มีคำว่า “กระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำโดยใช้ “ทวารหนัก”ของผู้กระทำกระทำต่ออวัยวะเพศ ผู้อื่น” ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพียงการขมขืนใจให้กระทำ...ตามมาตรา 309 เท่านั้น ประเด็นต่อมา มาตรา 277 ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าซึ่งมิใช่สามีหรือภริยาของตนโดย เด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ข้อสงสัยคือในกรณีที่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีที่ไม่ได้เป็นภริยากันโดยทั้ง คู่ตกลงยินยอมกระทำชำเราซึ่งกันและกัน ก็ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 277 แล้ว เช่นนี้เด็กก็ต้องมีความผิดทั้งสองฝ่าย และยิ่งเป็นชายกระทำต่อชายหรือหญิงกระทำต่อหญิงก็ต้องมีความผิดและรับโทษ สถานเดียว เพราะศาลไม่อาจอนุญาตให้สมรสกับได้ที่มีคำว่าซึ่งมิใช่สามีหรือภรรยาของตน” ก็เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 277 วรรคท้าย<br /> ในกรณีที่มีการกระทำชำเราและศาลจะอนุญาตให้สมรสกันแล้วไม่ต้องรับโทษนั้นตาม กฎหมายเดิมไม่จำกัดอายุชายผู้กระทำที่กระทำต่อเด็กหญิงอายุตั้งแต่สิบสามถึง สิบห้าโดยเด็กนั้นยินยอม แต่กฎหมายใหม่จำกัดอายุผู้กระทำไว้ว่าต้องไม่เกินสิบแปดปีกระทำต่อเด็กอายุ ตั้งแต่สิบสามถึงสิบห้า โดยเด็กนั้นยินยอม ที่สำคัญวรรคนี้มีไว้สำหรับชายกับหญิงเท่านั้นที่มีสิทธิ</em></span></div>▌✖ღ Y úì ღ✖Ⓛãw▐http://www.blogger.com/profile/03044496265175491518noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4361956038914822416.post-48380281338726188652010-04-07T09:15:00.000-07:002010-04-07T09:23:39.142-07:00นาฬิกา<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhT2wgxiJ7gKAJ0hciHHiIkfKh1Nr0nu0Euadt7cMFv50BEGBaLxEPtwi1TCBSDolDnIprrK7nnnhwzY0fqDrBI2cORt1ErNfCQH5fbYqmgCZPikKcJwVdNUon-Wrv-GWUjxHDiu7hjcOE/s1600/main304a.gif"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 200px; height: 172px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhT2wgxiJ7gKAJ0hciHHiIkfKh1Nr0nu0Euadt7cMFv50BEGBaLxEPtwi1TCBSDolDnIprrK7nnnhwzY0fqDrBI2cORt1ErNfCQH5fbYqmgCZPikKcJwVdNUon-Wrv-GWUjxHDiu7hjcOE/s200/main304a.gif" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5457431959285276738" /></a><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhn9lRyOr9I5YYnrTTDT-BCpzcLiVikG5-nKBJt1YlelApP6Y76M1NAmnx9mukWfF8VAmwt2Xi4vXpQPen9IUNicRGRbbazTo-Ha-wGJ4mLYSgCQWipwSxI-dx90CEOGCMF4EAFvYtMTXg/s1600/main304a.gif"></a><span><span></span></span><br /><div><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"> </span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;">นาฬิกายังเดินหมุนไปไม่หยุด ใจข้างในก็เลยหมุนตามด้วยความสุขทุกข์เวียนวน</span></b></span></span></i></div><div><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;">วันเวลากับความสัมพันธ์ของคน หมุนไปไม่หยุดเลย</span></b></span></span></i></div><div><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;"><br /></span></b></span></span></i></div><div><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;"> </span></b></span></span></i></span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#FF0000;">>>></span><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;">1 นาทีอาจจะพอ พอให้เคยคุ้นกัน</span></b></span></span></i></div><div><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;"> </span></b></span></span></i></span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#FF0000;">>>></span><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;">1 ชั่วโมงอาจทำให้คนชอบกัน</span></b></span></span></i></div><div><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;"> </span></b></span></span></i></span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;">และ 1 วันอาจผูกพันธ์จนรักกัน</span></b></span></span></i></div><div><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;"><br /></span></b></span></span></i></div><div><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;"> </span></b></span></span></i></span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;">แต่ทั้งหมดชีวิตมันจะพอไหม</span><span class="Apple-style-span" style="color:#FF0000;">?</span><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;"> ที่จะใช้เพื่อลืม ไม่คิดถึงคนหนึ่งคน</span></b></span></span></i></div><div><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;">ทั้งหมดชีวิต เวลาที่ยังเหลือจะพอไหม</span><span class="Apple-style-span" style="color:#FF0000;">?</span><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;"> ให้ใจได้ลบล้างความผูกพันธ์ </span><span class="Apple-style-span" style="color:#FF0000;">>>></span><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;">เพื่อลืมคนหนึ่งคน</span></b></span></span></i></div><div><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;"><br /></span></b></span></span></i></div><div><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;"> </span></b></span></span></i></span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;">นาฬิกายังเดินหมุนไปไม่เปลี่ยน ใจข้างในกลับเดินช้าลง ไม่ตรงไม่เท่าเวลา</span></b></span></span></i></div><div><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;">นาฬิกากับการพลัดพรากจากลา หมุนไปไม่กลับคืน</span></b></span></span></i></div><div><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;"><br /></span></b></span></span></i></div><div><span class="Apple-tab-span" style="white-space:pre"><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;"> </span></b></span></span></i></span><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;">หากนาฬิกาย้อนวันเวลากลับไป ถึงวันที่เราเจอกัน แล้วฉันจะทำอย่างไร</span></b></span></span></i></div><div><i><span class="Apple-style-span" style="font-size:large;"><span class="Apple-style-span" style="font-family:'courier new';"><b><span class="Apple-style-span" style="color:#CC33CC;">บอกใจตัวเองย้อนไปวินาทีนั้น ฉันก็จะทำอย่างเดิม ฉันจะรักเธออย่างเดิม <span class="Apple-style-span" style="color:#FF0000;">!</span></span></b></span></span><b><span class="Apple-style-span" style="color:#FF0000;">!!</span></b></i></div>▌✖ღ Y úì ღ✖Ⓛãw▐http://www.blogger.com/profile/03044496265175491518noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4361956038914822416.post-84810357889631535362010-04-07T00:50:00.000-07:002010-04-07T00:58:01.705-07:00blogger นาวสาวสุภาพร วันทะมาตร (ยุ้ย)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2zI0aYh5XirLHYNxPa5fUuPVwDz1WMJUXFSqxzwvMZi9MO3_8NjnXViJfLpNUs3w2EAduurOHRP8aIHML0-IZ7j4w-IEWZSr3ppE-i6CfgFj-7yk_R_K5fL8Mp-V-JOEvY_dLQ_i2Yi0/s1600/Chococat-sanrio-56144_1024_768.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5457301258791756098" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 267px; CURSOR: hand; HEIGHT: 206px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2zI0aYh5XirLHYNxPa5fUuPVwDz1WMJUXFSqxzwvMZi9MO3_8NjnXViJfLpNUs3w2EAduurOHRP8aIHML0-IZ7j4w-IEWZSr3ppE-i6CfgFj-7yk_R_K5fL8Mp-V-JOEvY_dLQ_i2Yi0/s320/Chococat-sanrio-56144_1024_768.jpg" border="0" /></a><br /><div>ได้ blogger แล้วค่ะ ทำจนวิน !!!!!!</div>▌✖ღ Y úì ღ✖Ⓛãw▐http://www.blogger.com/profile/03044496265175491518noreply@blogger.com0